หนังสือเล่มนี้มีสไตล์การเล่าเรื่องที่โดดเด่นและน่าอ่าน ผู้เขียนเป็นชาวอเมริกันที่มีเหตุจำเป็นต้องย้ายครอบครัวไปอยู่เบอร์ลิน ในขณะที่ลูกสาวคนแรกยังไม่ถึงเกณฑ์อนุบาลและกำลังตั้งครรภ์ที่สอง เราจึงได้อ่านเรื่องราวการปรับตัวตั้งแต่ต้น ทั้งวิธีเตรียมการสำหรับเด็กวัยก่อนอนุบาล วิธีเตรียมคลอด และวิธีดูแลเด็กแรกเกิด ไปจนถึงเรื่องสองภาษาและศักยภาพของเด็กที่เติบโตขึ้นในสังคมต่างวัฒนธรรม นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้ค้นเอกสารอ้างอิงเรื่องที่เป็นประเด็นขัดแย้ง ให้เราได้ทำความเข้าใจต้นตอของวิธีเลี้ยงลูกที่ไม่เหมือนกันตั้งแต่แรก ส่วนที่ผมชอบที่สุดคือเรื่องราวเกี่ยวกับระบบจัดการของรัฐในเรื่องต่าง ๆ ดังที่ตนเองได้เขียนเสมอว่า รัฐที่ดีควรจัดโครงสร้างของสังคมและสิ่งแวดล้อม ให้พ่อแม่เลี้ยงลูกได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ด้วยความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เพื่อประกันคุณภาพของเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาตินายแพทย์ประเสิรฐ ผลิตผลการพิมพ์

การเลี้ยงลูกหากพูดในทางหนึ่งมันก็เหมือนกับการนับถือศาสนา ต่างคนต่างก็มีความเชื่อ มีความยอมรับนับถือ มีเป้าหมายและวิธีการในการเลี้ยงลูกแตกต่างกันไป ยากที่จะเอาไม้บรรทัดไปวัดหรือตัดสิน ว่าใครถูกหรือผิด คงจะมีแค่ถูกใจไหมพอใจหรือเปล่า คงเป็นอะไรแค่นั้น แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังคงตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้อ่าน หรือได้รับรู้เรื่องเล่าของการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโต จากหลากหลายวัฒนธรรม อย่างที่ Sara Zaske เล่าถึงวิถีของแม่เยอรมันไว้ในเล่มนี้ แถมยังพาเราไปมากกว่าแค่เรื่องการเลี้ยงลูก แต่สะท้อนให้เห็นถึงภาพที่ใหญ่กว่า คือแนวคิด ค่านิยม บทเรียนที่เยอรมันได้รับ และการก้าวออกมาจากประวัติศาสตร์ที่หนักอึ้ง สู่การพยายามจะสร้างคนรุ่นต่อไปที่ไม่พาประเทศชาติย่ำซ้ำรอยเดิม การดูแลประชากรอย่างเป็นระบบ และสอดประสาน ที่สำคัญคือตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ สวัสดิการที่ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้แม่นิดนก- นักเขียนและคุณแม่ลูกอ่อน เจ้าของเพจ Nidnok